เลขาฯ สปก.ตรวจพื้นที่เชียงของชี้ใช้ ม.44 ไร้ปัญหา


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 ก.ค. ที่โรงแรมน้ำโขงริเวอร์ไซด์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการ สปก. ได้แถลงข่าวสรุปผลการติดตามสำรวจพื้นที่ การจัดที่ดิน และการใช้ประโยชน์ดิน สปก.บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา จ.พะเยา และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ว่าตามสภาพพื้นที่ สปก.หน้าด่านสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) อ.เชียงของ ซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมรองรับการขยายตัวของการลงทุนตามเส้นทาง R3A เชื่อมการขนส่งประเทศลาว-จีน-เวียดนามเหนือ พบว่ายังเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นชุมชน และยังไม่มีการลงทุนมากนัก ต่างไปจาก ม.พะเยา ที่มีการขยายตัวของชุมชนอย่างต่อเนื่องรวดเร็วโดยธรรมชาติ

เวนคืนที่ดิน นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการ ส.ป.ก. นำคณะตรวจพื้นที่ สปก.หน้าด่านเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ชี้จะใช้อานาจ ม.44 เวนคืนที่ดินสร้างนิคมอุตสาหกรรม แตกต่างจาก “พะเยาโมเดล” (ตามข่าว)

นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการ สปก. กล่าวว่า บริเวณหน้าด่านเชียงของทั้งหมด มีพื้นที่อยู่จำนวน 3.910 ไร่ แบ่งเป็น 757 แปลง มีผู้ครอบครองจำนวน 529 ราย แบ่งเป็นที่ดินมีโฉนด นส.3 และ สค.1 ประมาณ 1 พันกว่าไร่ แทรกอยู่ในพื้นที่ สปก. ที่เหลือเป็น สปก.ประมาณ 2,000 กว่าไร่ และการที่จะนำที่ดิน สปก.บริเวณดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการทำนิคมอุตสาหกรรม ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไม่ใช่กิจการต่อเนื่องจากภาคเกษตร หรือการขยายตัวของชุมชน ตามข้อยกเว้นมาตรา 30 วรรค 5 เหมือนพะเยาโมเดลได้ การที่จะใช้พื้นที่ สปก.บริเวณหน้าด่านเชียงของ จึงต้องอาศัยคำสั่ง คสช. มาตรา 44 ในการเวนคืนพื้นที่ไปจัดสรรให้เอกชนเช่าหรือใช้ประโยชน์ในการลงทุนอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเฟส 2 ตามมติ ครม.

ด้านนายวิบูลย์ รวยสิน สปก.เชียงราย กล่าวว่าสำหรับพื้นที่ส่วนหนึ่งของแปลงนี้ กรมการขนส่งทางบกก็ได้ขอใช้สร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 338 ไร่ เป็นที่ดิน สปก. 151ไร่

ไม่มีเอกสารสิทธิ 57 ไร่ เป็นโฉนด นส.3 จำนวน 120 ไร่ ซึ่งได้ประกาศเวนคืนตั้งแต่ปี 2557 โดยคณะกรรมการฯ จะให้ราคาชดเชยไร่ละ 1.2 แสนบาท แต่ถ้า สปก.กำลังต่อรองเพิ่มให้เกษตรกรผู้ครอบครองพื้นที่เป็น 2 แสนบาท เพื่อให้สามารถไปซื้อพื้นที่ สปก.อื่นได้ สำหรับบริเวณพื้นที่ข้างมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่มีการสร้างหอพัก จำนวน 22ไร่ และบนดอยแม่สลอง ที่มีการปลูกสร้างโรงแรม ร้านค้า เกี่ยวเนื่องมาจากการทำเกษตรกรรมปลูกชา มีลักษณะคล้ายหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา จึงจะนำ “พะเยาโมเดล” มาใช้ 2 พื้นที่ดังกล่าว เพราะผู้อยู่อาศัยไม่ใช่นายทุนรายใหญ่เหมือนกรณีวังน้ำเขียว ที่รุกล้ำพื้นที่ป่าและพื้นที่ สปก.อย่างตั้งใจ

ขณะที่นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานเครือข่ายรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ของ อ.เชียงของ ทำให้เป็นห่วงในเรื่องการใช้ประโยชน์พื้นที่เกษตรกรรมจะสมดุลได้อย่างไรกับการลงทุนที่จะมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้น และ อ.เชียงของ มีพื้นที่ สปก. เป็นพื้นที่นา และพื้นที่เกษตรอยู่มาก นอกจากพื้นที่ทางอำเภอเสนอไป 5 พื้นที่ หากไม่เหมาะสมกับรูปแบบการลงทุนที่จะเกิดขึ้น จะมีการใช้พื้นที่ที่เป็นแปลงเกษตรอื่นหรือไม่ ชาวบ้านห่วงความสมดุลการใช้ประโยชน์พื้นที่ตรงนี้มาก ต้องการความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ สปก.

ส่วนที่จังหวัดพะเยา นายประพันธ์ เทียนวิหาร นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลแม่กา อ.เมืองพะเยา กล่าวว่า ปัญหาที่ดิน สปก.หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เป็นปัญหาของคนพะเยาที่จะต้องร่วมกันแก้ปัญหา กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งทางเทศบาลได้สรุปบทเรียนจากปัญหาการจัดการที่ดิน ปัญหาสาธารณูปโภค ขยะน้ำเน่าที่ไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการได้รวมทั้งจัดเก็บภาษี เมื่อมีปัญหามานานก็ร่วมกับผู้นำ ท้องถิ่นในพื้นที่อย่างน้อย 4 หมู่บ้าน ซึ่งมีชุมชนแออัดที่ไม่สามารถจัดผังเมืองได้ เดิม สปก.ทำเอง แต่ปัจจุบันจะมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ในการวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนแก้ปัญหา ตอนนี้แบ่ง 3 โซน อนุรักษ์ โซนกันชน และโซนพัฒนา ซึ่งแนวทางผังเมืองชัดเจน มีการเดินสำรวจโดยชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่มีส่วนได้เสีย มีการทำประชาคม ดังนั้น “พะเยาโมเดล” จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วมและแก้ไขปัญหาร่วมกันไม่มีหน่วยงานใดเป็นหน่วยหลัก นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมมีอาชีพสอดส่องในเรื่องนี้โดยมาจากหลากหลายอาชีพ โดยแบ่งการดูแลเป็น 5 โซน และมีคณะกรรมการรับผิดชอบด้วย สปก.ได้ เทศบาลได้ ชาวบ้านได้ ทุกคนมีส่วนร่วมและออกมาอย่างมีความสุขในการแก้ไขปัญหาร่วมกันเรื่องทั้งหมดของ “พะเยาโมเดล” ก็จะสามารถยุติลงได้.
*************************************
ที่มา http://www.thairath.co.th/social